Skip navigation

Daily Archives: November 9th, 2007

วันนี้เกรดเพิ่งออก สามต้นๆครับ
ไม่น่าเชื่อตัวเองเท่าไหร่ เพราะหวังไว้แค่สองกว่าๆเท่านั้นเอง

ได้คุยกับรุ่นน้องปี 1 (น้องหนามเคย) เลยได้ย้อนคิดถึงวิธีการเรียนของตัวเอง ที่เชื่อและทำตลอดเรื่อยมา
ขอบอกไว้ก่อนว่ามันเป็นแค่วิธีของผมนะครับ ไม่ได้แนะนำให้ทำตาม
เพราะถ้าคิดตามผลที่ได้จากการวัด การประเมิน มันดูเป็นวิธีที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่
ดูจากเกรดเฉลี่ยของผม มันก็ไม่ได้จัดอยู่ในระดับที่จะไปแนะแนวการเรียนให้ใครฟังได้อยู่แล้ว ฮ่าๆ
แค่พอดีว่าผมเชื่อว่าผมควรทำแบบนี้ ผมเลยทำมาเรื่อยๆเท่านั้นเอง

ความแตกต่างของการเรียน และการศึกษา
ผมมีนิสัยไม่ชอบเรียนครับ โคตรขี้เกียจเรียนเลย
ผมขอแยกการเรียน และการศึกษา ไว้เป็นคนละเคสกันนะครับ
การเรียนคือ เข้าไปนั่งในห้องเลคเช่อ ท่องๆๆตำรา
เพื่อจำเอาไปสอบ โดยวิชานั้นๆ เราไม่ได้มีสิทธิ์เลือกเอง
แค่ตามหลักสูตรที่เค้าหยิบยื่นมาให้เท่านั้น
หรือวิชานั้นๆเราอาจจะเลือกเรียนเอง แต่ก็ไม่ได้ให้อิสระในการเลือกเนื้อหามาอ่านตามใจตัวเองได้

แต่การศึกษาสำหรับผมคือ ไม่ใช่แค่ในตำรา ไม่ใช่แค่ในห้อง อาจารย์ก็ผิดได้
มันคือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่สนใจ และเรียนรู้จากมัน

ตั้ง Piority ในการเรียนแต่ละวิชา
เทอมๆนึงที่เราต้องเรียนนั้น ผมเจอวิชามากมายเต็มไปหมดเลยครับ
ด้วยหัวสมองอันน้อยนิด แถมยังแบ่งไปทางการคิดการเล่นซะเยอะ
จะไปจำหมดไหวได้ยังไงกัน

ตามปกติหนึ่งเทอม ผมจะต้องเรียนประมาณ 6-8 วิชาครับ
แต่จะมีเพียง 1-3 วิชาเท่านั้นที่ผมสนใจ
และนั่นเป็นที่มาของการตั้ง piority (การจัดอันดับตัวเลือก) ให้กับแต่ละวิชาของผม

ผมไม่เถียงครับ สำหรับคนที่ต้องการ keep เกรดเฉลี่ย
อาจจำเป็นต้องเรียนมันทั้งหมดทุกวิชา แชร์ๆกันไป
แต่สำหรับผมแล้ว พูดกันตรงๆเลยครับ ว่าบางวิชาที่ผ่านมา
ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาจารย์ที่สอนผู้ชายหรือผู้หญิง

แต่ละเทอมที่จะได้เรียน ผมจะเล็งไว้ก่อนแล้วครับว่า มีวิชาไหนที่น่าเรียนบ้าง
ผมก็จะลิสต์ว่าวิชาไหนน่าเรียนที่สุด ไล่ลงไปเรื่อยๆ
ผมไม่ใช่คนที่สนใจเกรดเฉลี่ยอะไรนี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ
สมัยมัธยมผมเรียนสายวิทย์ ผมยังได้เกรด 1 ฟิสิกส์
เพราะมัวแต่เอาเวลาไปหัดโฟโต้ชอปอยู่เลย

ผมไม่แคร์จะเกรดจะออกมาสวยหรูแค่ไหน
แต่ผมแคร์ในวิชาที่ผมสนใจและลิสอยู่ในอันดับต้นๆ
ผมจะพลาด A หรือ B+ ไม่ได้
ถึงแม้เกรดมันจะเป้นแค่ค่าการประเมิน แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันสำคัญอยู่ ในกรณีนี้
แล้วผมก็จะทุ่มเทให้กับวิชานั้นๆมากๆด้วย
สมมติว่ามีเวลาสองวัน ในการทำงานสองวิชา คืองานกราฟิก และสังคม
โดยในวันที่สาม ผมต้องส่งงานสองวิชานี้พร้อมกัน
ผมก็จะทุ่มเทกับงานกราฟิกอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่รู้สึกเสียเวลาที่จะนอนนิ่งๆเฉยๆ เพื่อจะคิดงานออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด
ทั้งๆที่งานสังคมก็เยอะพอตัว และยังไม่ได้แตะ
จนกว่าผมจะแน่ใจแล้วว่า ผมทำงานกราฟิกของผมดีที่สุดแล้ว
และเวลาที่เหลือผมก็ค่อยทำงานสังคมเอาแค่พอส่งๆไป

ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมควรจะทำประมาณนึง ให้ดีทั้งคู่
เพื่อจะ keep เกรดดีๆจากทั้งสองวิชาพร้อมๆกัน
แต่ผมก็เลือกที่จะทำวิชาที่ผมสนใจ ให้มันดีที่สุดไปเลย ไม่เอาแค่ดี
ส่วนตัวที่ไม่สนใจ จะยังไงก็ได้ มีส่งให้แสดงถึงความรับผิดชอบก็พอ

ผลที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ผมค่อนข้างมั่นใจ และแน่นในเรื่องที่ตัวเองสนใจมากพอตัวครับ
หลายๆสิ่งในหัวผมตอนนี้จะไม่เกิดขึ้นมาแน่นอน
ถ้าผมไม่นั่งคิดงานเชิงลึกๆในวิชากราฟิก ไม่ต่อยอดทางความคิดจากโจทย์ที่อาจารย์สั่ง
ทำแค่ตามโจทย์ไป แล้วเอาเวลาไปทำวิชาอื่นต่อ
ผมก็คงไม่รู้อะไรแบบที่ได้รู้ตอนนี้
ก็เท่านั้นเองครับ ไม่ใช่ว่าผมรู้มากกว่าแล้วจะเจ๋งอะไรนะ
แต่ผมชอบที่จะรู้ตรงนี้มากกว่าเท่านั้นเอง

ผมรู้สึกว่าชีวิตคนเราจะต้องไขว่คว้ามากมายอะไร จะต้องรู้อะไรมากมายขนาดนั้นทำไม
ประเทศที่เจริญแล้ว ประชากรและนักศึกษาของเค้า
ก็ไม่ได้มีความรู้ทุกวิชาทุกเนื้อหาแบบคนไทย
แค่เลือกที่จะรู้คนละไม่กี่อย่าง แล้วเอามารวมกันพัฒนาสิ่งใหญ่ๆที่แข็งแรงได้
ถึงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป ที่จะมาคิดเรื่องระบบการศึกษาในตอนนี้
แต่ถ้าเอาแค่ว่า จะรู้มากมายไปทำไมเนี่ย ก้อพอแล้วมั้ง

คนอื่นอาจคิดต่างจากผมก็ได้
ผมคิดว่าผมรู้ในเรื่องที่อยากรู้ ก็พอแล้ว
เรื่องอื่นๆก็ไมไ่ด้ปิดตาใส่มันเลย เลือกบางอย่างมาประกอบเท่านั้นพอ
ไม่ต้องลงลึกอะไรมาก

ผลที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง
หลายๆคนจะไม่เข้าใจในตัวผมครับ แม้แต่กับพ่อแม่ผมเอง
ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นการเรียนวิธีนี้ ตอนมอสี่
ผมรู้สึก(อาจรู้สึกไปเองก็ได้) ว่าไม่ค่อยมีใครเชื่อใจในสิ่งที่ผมคิดมากนัก
ผมต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่หลายปี
ว่าการเรียนสายวิทย์ แล้วได้เกรดวิชาเลข ฟิสิกสื เคมี ชีวะ เป็น 1 รวด
มันไม่ได้หมายความว่าผมไร้ประสิทธิภาพทางการศึกษา
ผมแค่ไม่ได้ศึกษามัน และไม่คิดอยากจะรู้มันก็เท่านั้นเอง
ผมไม่ได้เอาเวลาที่เหลือไปนั่งร้านเกมทั้งวัน กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน ก็แล้วกัน

ข้อสรุปของเอนทรี่บล็อกวันนี้ก็เพียงแค่ว่า
ชีวิตคนเรา จริงๆมันก็แค่ชีวิตๆนึงเท่านั้นเอง
อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ
เวลามันเหมือนจะมีเยอะ
แต่วัยรุ่นมันมีแค่แป๊บเดียว
เลือกทำอะไรที่สนใจ และสนุกกับมันมากที่สุดก็พอแล้ว

ปล.
ผมไม่สนับสนุนให้ใครคิดแบบผม
แต่ผมสนับสนุนให้คนเราหาทางเดินที่มีความสุขให้กับตัวเองครับ

เรื่องทางเดินความสุข..
บางคนยอมปีนภูเขาหิมะหลายๆวัน เพื่อแค่ไปตะโกนเรียกชื่อตัวเองบนยอดเขานั้นๆ
ความสุขบางเรื่อง ถ้ามันจะผ่านความลำบากซะบ้าง ก็เดินๆฝ่าๆมันไปเถอะครับ ประสบการณ์ทั้งนั้น